รบ.เปลี่ยนขั้ว นโยบายเปลี่ยนตาม ‘พ.ร.บ.อสม.- จ้างงาน CG ’ เดินหน้า แต่ ‘นับคาร์บ’ คงถูกพับ
หลังจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยก็ได้ชื่อนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 คือ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล”
แน่นอนว่านายกฯ คนใหม่จะมาพร้อมกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ซึ่งในส่วนกระทรวงสาธารณสุข (สธ. ) มีแนวโน้มสูงที่จะต้องเปลี่ยนตัว รมว.สาธารณสุข จากชื่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่เป็นคนของพรรคเพื่อไทย มาสู่คนใหม่ที่คาดว่าจะแต่งตั้งในเร็วๆ นี้ ซึ่งสื่อมวลชนหลายสำนัก ก็ลือกันหนักมากขึ้นว่า รมว.สาธารณสุขคนใหม่ จะเป็นคนที่ชื่อ “นายสันติ พร้อมพัฒน์” ซึ่งก็เคยเป็น รมช.สาธารณสุข มาก่อนในยุคที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นรมว.สาธารณสุข
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ภารกิจและนโยบายหลายด้านของ สธ. ที่ถูกเดินหน้าไปแล้ว และกำลังขับเคลื่อนอยู่ในยุคการนำของนายสมศักดิ์ ที่ทำงานมาแล้วรวมกว่า 1 ปี 4 เดือน จะถูกพับปิดนโยบาย เกิดการสร้างนโยบายใหม่ หรือจะมีการเดินหน้านโยบายเดิมต่อไป จากนายสันติ
แต่กระนั้น ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลของนายอนุทิน ให้ MOA กับพรรคการเมืองที่ยกมือให้เขาเป็นนายกฯ คนที่ 32 ว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือน แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยว่า นโยบายสาธารณสุข ของรมว.สาธารณสุขคนใหม่ จะไปในทิศทางใดใน 4 เดือนนี้
ร่าง กฎหมาย อสม. ไปต่อในเวอร์ชั่น ภูมิใจไทย
อย่างเช่น การเดินหน้า ผลักดัน ร่างกฎหมาย อสม. หรือ ร่างพระราชบัญญัติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ. … ที่มีแนวโน้มสูงว่ารัฐบาลของนายอนุทิน จะเดินหน้าต่อ และอาจจะนำเสนอร่างกฎหมาย อสม. ฉบับของพรรคภูมิใจไทยเองเข้าสู่การพิจารณา เพราะตัวเขาเอง ก็เป็นคนเสนอ ร่าง พ.ร.บ. อสม.ฯ นี้ เมื่อ 9 ก.ค. 2568
ซึ่งรายละเอียดร่าง พ.ร.บ.อสมฯ ของพรรคภูมิใจไทย มีสิทธิประโยชน์ที่จะให้กับ อสม. เหมือนกับร่างกฎหมายที่พรรคเพื่อไทยได้เสนอ แต่จะมีจุดแตกต่างคือ จะให้ อสม. สามารถใช้ “ระบบการแพทย์ทางไกล” (เทเลเมดิซีน) ในการดำเนินงาน
มากไปกว่านั้น ยังจัดให้มีการเลือกหัวหน้ากลุ่มกันเองหมู่บ้านละ 1 คน มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี โดยมีการประเมินประสิทธิภาพในการต่ออายุทุกคราวไป
และอีกหนึ่งจุดเด่นคือ การกำหนดให้จัดตั้ง “กองทุนสนับสนุนการปฏิบัติงานของ อสม.” ขึ้นในกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายในการดำเนินงานเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพของชุมชน รวมถึงใช้สำหรับช่วยเหลือ สงเคราะห์ ส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา และการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับ อสม.
ซึ่งร่างกฎหมาย อสม. ฉบับพรรคภูมิใจไทย น่าจะถูกขับเคลื่อนต่อไปอย่างแน่นอนในรัฐบาลของอนุทิน
30 บาทรักษาทุกที่ – จ้าง Caregiver ก็ไปต่อด้วย
อีกนโยบายด้านสุขภาพที่คนไทยคุ้นชินและเห็นมาตลอดระยะเวลาของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย คือ โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ เมื่อมาถึงรัฐบาลของนายอนุทิน รัฐบาลของเขาน่าจะเดินหน้าต่อไปกับนโยบายนี้ นั่นเพราะมีการจัดสรรงบประมาณรองรับเอาไว้แล้ว และคนไทยได้ใช้ประโยชน์กันไปแล้วจนคุ้นเคย โดยเฉพาะผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง ที่มีทางเลือกการเข้าถึงบริการปฐมภูมิจากหน่วยบริการนวัตกรรมทั้ง 7 ประเภทได้มากขึ้น
รวมไปถึงนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้มีภาวะพึ่งพิง หรือนโยบายจ้างงานผู้ช่วยเหลือดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง หรือจ้างงาน Caregiver ก็น่าจะได้ไปต่อเช่นกัน เพราะที่ผ่านมา มีการอนุมัติงบประมาณ จำนวน 1,115 ล้านบาท ให้ สปสช. ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต. เทศบาล เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการจ้างงาน Caregiver เรตอัตรา 5,000 – 6,000 บาทต่อเดือนตลอดปี 2569 จำนวน กว่า 1.8 หมื่นคน เพื่อดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงกว่า 1 แสนคนทั่วประเทศ และตอนนี้ก็กำลังเปิดรับสมัครกันอยู่ไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2568 นี้
รมว.สาธารณสุข คนใหม่ คงไม่ ‘นับคาร์บ’
อีกหนึ่งนโยบายเรือธงของนายสมศักดิ์ คือ “การนับคาร์บ” ที่เป็นการแนะนำองค์ความรู้ในการกินอาหารให้กับคนไทยเพื่อห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นนโยบายที่เขาเริ่มต้นเดินหน้าทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง
กว่า 1 ปีของนโยบายนี้ มีการระบุว่าขณะนี้ การนับคาร์บของนายสมศักดิ์ ทำให้คนไทยเรียนรู้การนับคาร์บ หรือการควบคุมคาร์โบไฮเดรตจากข้าวที่รับประทานอย่างเหมาะสมกับสุขภาพร่างกายไปแล้วกว่า 41 ล้านคน ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยโรค NCDs มีสุขภาพที่ดีขึ้น และช่วยประหยัดเงินงบประมาณค่ารักษา ค่ายาให้กับระบบสุขภาพไปได้กว่า 780 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากชื่อนายสันติ พร้อมพัฒน์ มาเป็น รมว.สาธารณสุขคนใหม่จริง แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องมีนโยบายที่จะต้องการเข้ามาขับเคลื่อทำงาน และคงไม่สานต่อนโยบาย “นับคาร์บ” ของนายสมศักดิ์ แม้ว่าจะมีคนไทยอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้เรียนรู้วิธีการนี้ก็ตาม
เพราะคงไม่อาจเกิดภาพ รมว.สาธารณสุขคนใหม่ ที่มาจากรัฐบาลใหม่ มาเปิดงาน หรือสอนคนไทยนับคาร์บที่เป็นนโยบายเดิมของรมว.คนก่อน